เมื่อก่อน (รวมถึงตอนนี้ในหลายๆครั้ง) ในอุตสาหกรรมนี้ให้คิดเงินเป็นรายชั่วโมงที่ทำงาน โดยแต่ละบริษัทมีค่าตัวที่ต่างกัน เราเรียกสิ่งนั้นว่า man-hour (อัตราการทำงานต่อ 1 ชั่วโมง) สมมุติว่าผมค่าตัว 100บาท /ชม. ผมตีว่างานนี้ผมต้องใช้เวลา 100ชม. ในการทำงาน เท่ากับผมจะคิดเงินลูกค้า 100×100 = 10,000 บาท เมื่อส่งงานนี้เสร็จ
คำถามคือ
ถ้าผมใช้เวลาเกินเพราะขายไม่ผ่านสักที สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ผมจะไม่ได้เงินเกินกว่านี้เพราะเป็นความรับผิดชอบของผมซึ่งตกลงกับผู้ว่าจ้างไปแล้วว่าจะใช้เวลาเท่านี้ในการทำงานนี้
แต่ถ้าผมทำเสร็จเร็วกว่ากำหนดล่ะ เช่น ฟังบรีฟในห้องประชุมแล้วคิดออกเลย ขายเลย ลูกค้าชอบเลย ทำยังไม่ถึง ชม. ผมอาจจะคิดเงินได้แค่ 100 บาท เพราะผมใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที (ในความคิดของลูกค้าบางเจ้า) ในความเป็นจริงผมไม่ได้ใช้เวลา5นาทีแต่ผมใช้ประสบการณ์ 20 ปี กับอีก 5 นาที ในห้องประชุมนั้น
อีกเหตุการณ์(สมมุติ)ที่ใกล้เคียงกัน มีลูกค้ามาว่าจ้างผมให้คิดและดูแลโปรเจ็คออกสินค้าใหม่ โดยสินค้านั้นจะขาย 3 เดือน โดยให้เราคิดเป็นค่าคิดและราคาต่อชั่วโมงในการดูและโปรเจ็คนี้ ปรากฎว่า ไอเดียที่คิด การทำงานของผมมันดีมากๆ แบบที่สินค้านั้นขายหมดภายใน 1 เดือน ไม่ต้องใช้เวลาถึง 3 เดือน สิ่งที่ “อาจจะ” เกิดขึ้นคือ ลูกค้าขอจ่ายเงินแค่เดือนเดียวเพราะอีก 2 เดือนเราจะไม่ได้ทำงาน
จะเห็นได้ว่าการคิดค่าแรงเป็นอัตราต่อชั่วโมงนั้น ทำร้าย (penalty) คนที่ทำงานได้ดีและทำงานได้เร็ว
ใครที่อยู่ในวงการนี้ก็จะรู้ว่าบางทีไอเดียมันไม่ได้มาตามเวลา คนเก่งๆส่วนใหญ่ก็เก็บไอเดียระหว่างทาง ใช้ชีวิตไปสะสมไอเดียไป บางครั้งเอามาใช้ได้เลย บางครั้งเอามาปัดฝุ่น หลังๆเลยจะเห็นว่าหลายๆคนก็ปรับโมเดลเป็นคิดเหมา
แล้วเราควรจ่ายค่าความคิดสร้างสรรค์เท่าไหร่ ผมคงบอกได้แค่ “แล้วแต่ตกลงกัน” สิ่งที่ควรทำที่สุดคือตกลงราคากันให้เรียบร้อยก่อนเริ่มงานจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง เพราะความคิดสร้างสรรค์มันจับต้องได้ยากและตีมูลค่าไม่ได้ ยิ่งหลังจากคิดและนำเสนอไปแล้ว ถ้าไม่ได้คุยราคากันไว้ก่อนจบไม่ค่อยสวยกันเท่าไหร่
ใครคิดเห็นยังไงเข้ามาแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ ไว้รอบหน้าจะมาชวนคุยเรื่อง “Pitching Fee ควรมีรึเปล่า” :p