ศรีฟ้าเบเกอรี่ จากร้านเบเกอรี่เล็กๆ สู่เจ้าใหญ่ OEM เบเกอรี่ระดับประเทศ วันนี้กำลังขยายธุรกิจแฟรนไชส์ “อย่างบ้าคลั่ง” ด้วยตัวเลขทางธุรกิจที่ไม่ได้โตแค่รายได้ แต่กำไรสุทธิก็โตแบบก้าวกระโดด
คนเมืองโดยเฉพาะใน กทม. เวลาได้ยินชื่อ “ศรีฟ้า” ส่วนใหญ่จะนึกถึง ร้านอาหาร“สีฟ้า” แต่ถ้าไปถามคน ต่างจังหวัดโดยเฉพาะฝั่งภาคตะวันตกและตะวันออกทุกคนจะนึกถึง ร้าน “ศรีฟ้าเบเกอรี่” ร้านเบเกอรี่สีแดงที่วันนี้มีมากกว่า 60 สาขาทั่วประเทศ ภายในต้นปีหน้าอาจจะได้เห็นขึ้นหลัก 100 สาขา
และถ้าใครอยู่ในอุตสาหกรรมเบเกอรี่ ได้ยินชื่อ “ศรีฟ้า” คงไม่มีใครไม่รู้จัก “Srifa Frozen Food” ที่เป็น OEM เบเกอรี่เจ้าใหญ่ให้กับหลากหลายแบรนด์ รวมถึงเป็นเจ้าของ เค้กฝอยทองที่ขายใน 7-11 ตั้งแต่ปี 2552
ร้านเบเกอรี่เล็กๆที่กาญจนบุรี ที่ขยายสาขาของตัวเองไปรอบๆจังหวัดใกล้เคียง จน 7-11 มาติดต่อให้ผลิตเค้กฝอยทองเข้าไปขาย ทำให้ต้องปรับจากธุรกิจ B2C ไปสู่ B2B ใช้เวลาตั้งโรงงานกว่า 4 ปี เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตจากวันละ 1,000 ชิ้น เป็นวันละหลายหมื่นชิ้น จนกลายเป็นเจ้าใหญ่ในตลาด เบเกอรี่ OEM ร่วมทุนกับ Minor ตั้งบริษัท A.O.B. ที่ไม่นานนี้เพิ่งประกาศร่วมทุนเพิ่มกับบริษัท Europastry บริษัทผู้ผลิตโดนัทอันดับ1 ของโลก จนวันนี้กลับมา Focus ที่การขยายหน้าร้านในรูปแบบแฟรนไชส์
การเดินทางของ ศรีฟ้าเบเกอรี่ ที่ไม่ได้ค่อยๆขยับ แต่ขยับแบบก้าวกระโดด
จุดเปลี่ยนของศรีฟ้าเบเกอรี่ที่ถ่ายทอดผ่านคุณวิเชียรและคุณอาร์ท(พีรวัส) มี 3 ช่วง
1. ส่งเค้กฝอยทองเข้า 7-11
จังหวะที่ 7-11 มาติดต่อให้ส่งเค้กฝอยทองเข้าไปขายใน 7-11 ที่ต้องขยายการผลิตจากวันละ 1,000 ชิ้นเป็นวันละ 10,000 ชิ้น ทำให้ตัดสินใจกู้เงินมาสร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักรแบบที่คนในวงการพูดกันว่า “คุณวิเชียรโดนหลอก” เพราะซื้อเครื่องจักรเกินความจำเป็นและยังไม่มีโรงงานเบเกอรี่เจ้าไหนในประเทศเมื่อ 20 ปีที่แล้วซื้อ ทั้งที่ยังไม่มีประสบการณ์ตั้งโรงงานที่ทันสมัยขนาดนั้นมาก่อน ทำให้หลังจากสร้างโรงงานเสร็จกว่าจะรันเครื่องให้ผลิตได้ตามมาตรฐานใช้เวลากว่า 4 เดือน ทิ้งสินค้าไปกว่า 30 ตัน เพราะการปรับโรงงานจากทำทุกอย่างด้วยคน มาเป็นเครื่องจักร เหมือนกับเมื่อวานยังขี่จักรยานอยู่วันนี้เปลี่ยนเป็นมาขับรถถัง จนวันที่ส่ง 7-11 ได้วันละ 10,000 ชิ้น เป็น 20,000 ไปจนถึง 50,000 ชิ้น ดีใจจนลืมไปว่าเครดิตเทอมของ 7-11 คือ เกือบ 70 วัน ต้องเจรจากับคู่ค้าของผ่อนชำระจนไปถึง Refinance คุณวิเชียรบอกว่าตอนนั้นทั้งในระบบนอกระบบต้องหาเงินมารันต่อให้ได้ โดยถือคติว่า “ไปข้างหน้าเท่านั้น” จนผ่านช่วงนั้นมาได้และกลายเป็นโรงงานเบเกอรี่ไม่กี่เจ้าในประเทศ ที่มีมาตรฐานและกำลังการผลิตพอที่สามารถส่งให้ห้าง ร้านค้า และแบรนด์ต่างๆ ในประเทศได้
2. ร่วมทุนกับ Minor
จากที่เคยลงทุนในโรงงานศรีฟ้า กว่า 180 ล้าน วันที่ร่วมทุนกับ Minor ตั้งบริษัท A.O.B. ในมูลค่าการลงทุนกว่า 700 ล้าน ที่คุณวิเชียรและคุณอาร์ทพูดว่าเหมือน All-in ไปอีกรอบเพื่อสร้างโรงงานผลิต Frozen Dough ที่ทันสมัยที่สุดใน South East Asia วันที่ขยับอีกครั้งจากขับรถถังมาเป็นขับ F-16 สร้างโรงงานเสร็จเกิด Covid-19 ทำให้ปีแรกแทบจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยแต่ใช้เวลาเพียง 5 ปี ประกาศร่วมทุนเพิ่มเติมกับ บริษัท Europastry ในมูลค่ามากกว่าทุกลงทุนวันแรกไปหลายเท่า
3. กลับมา Focus ธุรกิจหน้าร้านและขยาย แฟรนไชส์
จากปีแรกที่มีคนสนใจแค่ 3 เจ้า ปีที่ 2 มีเพิ่มเป็น 24 เจ้า ปีนี้เปิดเพิ่มไปจนตอนนี้เกิน 60 สาขาไปแล้ว ยังไม่รวมที่กำลังจะเปิดอีกหลายสาขา ความหน้าสนใจของ ร้าน “ศรีฟ้าเบเกอรี่” คือ ของดีราคาจับต้องได้ บางคนอาจจะยังนึกไม่ออกว่าราคาจับต้องได้ขนาดไหน เอาเป็นว่า Shio Pan ที่เป็นสินค้าฮิตในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราเห็นในตลาดถูกๆหน่อยก็ 35 บาท แต่ที่ ศรีฟ้าเบเกอรี่ ขายที่ 19 บาท จนหลายคนส่งสัยว่าใช้ Tactic “Loss leader” รึเปล่า ซึ่งคุณอาร์ทบอกว่า ไม่ใช่ แต่เป็น “Price Leader” ความลับไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า “Economy of scale” และความชำนาญในการผลิตของดีในราคาต่ำมากๆ (ที่ฟังเหมือนจะง่าย แต่ทำไม่ง่าย) ความน่าสนใจคือ ถ้าคู่แข่งในตลาดขาย 35 บาท เราขาย 25 บาทก็ถูกกว่ามากแล้ว แต่เหตุผลที่คุณอาร์ทให้ ว่าทำไมขายราคา 19 บาท เพราะ “มันเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว” ประโยคนี้น่าสนใจมากๆเพราะมันบอกว่าการดำเนินธุรกิจของศรีฟ้าเบเกอรี่ไม่ได้ Focus แต่เรื่อง Maximize Profit แต่ยังคิดถึงความเหมาะสม และผู้บริโภคที่ไม่ควรจะจ่ายค่าสินค้าแพงเกินไป ผู้ผลิตได้ประโยชน์ แฟรนไชส์มีกำไร ผู้บริโภคไเ่สินค้าราคาถูก วันนี้ถ้าคุณเดินเข้าไปในร้าน ศรีฟ้าเบเกอรี่ ผมเชื่อว่าคุณหยิบสินค้า 10 ชิ้น อาจจะจ่ายเงินไม่ถึง 300 บาท
ในวันที่มีแต่คนบอกว่า เศรฐกิจไม่ดี ทุกคนรัดเข็มขัด แต่กลายเป็นวันที่ ศรีฟ้าเบเกอรี่ ยังโตไม่หยุด โตด้วยความเชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมีแต่ต้อง “ไปข้างหน้าเท่านั้น” วันนี้ศรีฟ้ามาถึงจุดที่การขยายธุรกิจไม่ใช่เรื่องของเจ้าของอีกแล้ว
แต่เป็นเรื่องของพนักงาน 600 กว่าคนที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เป็นเรื่องของเจ้าของแฟรนไชส์สาขาต่างๆ ที่หลายที่กลายเป็นบริษัทนิติบุคคลไปแล้วเพราะเป็นเจ้าของหลายสาขา
เป็นเรื่องของการขับเคลื่อนเศษฐกิจของประเทศผ่านการเติบโตของแฟรนไชส์ ในอำเภอต่างๆทั่วประเทศที่ไม่ใช่แค่สร้างงานแต่สร้างรายได้หมุนเวียนในชุมชนนั้นๆ ทุกวันนี้การมีร้านศรีฟ้าเบเกอรี่ไปเปิดที่ไหน ให้ความรู้สึกเหมือนสมัย 7-11 เวลาไปเปิดสาขาตามอำเภอและตำบลเล็กๆ
ตามความเชื่อที่คุณอาร์ทเคยบอกไว้
“ถ้าทุกคนเข้าถึงเบเกอรี่ที่ดี คุณภาพชีวิตของทุกคนจะดีขึ้น”
และวันนี้ ศรีฟ้าเบเกอรี่กำลังทำธุรกิจ”เบเกอรี่ เพื่อทุกคน”