ตอนเริ่มทำ Createx (ครีเอเทกซ์) แรกๆ เนื่องจากตัวเองก็ไม่ได้เป็น Sale เป็น Client Service หรือเป็น ครีเอทีฟมีชื่อเสียง ที่เปิดบริษัทพร้อมกับมีลูกค้าติดตัวมาด้วย งานแรกๆก็จะเป็นธุรกิจเล็กๆ ที่มีคนรู้จักผมเป็นการส่วนตัวให้เราได้เริ่มทำ Digital Communication เล็กๆน้อยๆ ไปเรื่อยๆจนเกิดการแนะนำต่อๆกัน ไปตามกลุ่มคนที่รู้จัก จนเรามาได้จับงานที่เรียกได้ว่าเป็น Corporate เจ้าแรกๆ จนเป็นฐานให้เราขยับขยายและอยู่มาจนครบปีที่ 10 เลยอยากจะเขียนความทรงจำที่ประทับใจสำหรับผมที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น (เกือบ 10 ปีที่แล้ว) แต่คงขอสงวนชื่อลูกค้าหลายๆคนที่เกี่ยวข้องไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวนะครับ
Equal กับการ Launch Equal Stevia ผลิตภัณฑ์ให้ความหวานที่ทำจากหญ้าหวาน
ตอนนั้น ไอเดียเราอาจหาญมาก คิดว่านอกจากจะทำแคมเปญให้เป็นที่รู้จักแล้วอยากสอนไปเลยว่าเอาไปทำอะไรได้บ้าง เลยเกิดเป็นไอเดีย 30 วัน 30 เมนู จาก 30 influencers อาหาร โดยเราจะขอให้ทั้ง 30 คน สร้างสรรเมนูของหวานอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่น้ำตาล แต่ใช้ Equal Stevia แทน ทำให้เป็นเมนูน้ำตาลน้อยเพื่อสุขภาพ แต่เนื่องจากงบประมาณที่จำกัด ตอนนั้นเลยต้องลดเหลือ 7 คน 7 วัน 7 เมนู ผมจำไม่ได้แล้วว่า สถิติมันเป็นยังไงเท่าไหร่ เพราะมันไม่สำคัญเท่าหลังจบแคมเปญไปไม่กี่เดือน ลูกค้าบอกเราว่า สินค้านี้กลายเป็นสินค้ายอดขายอันดับ 1 ของประเทศ ซึ่งเราเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จนั้น
YSL กับการทำ เครื่องสำอาง Luxury ครั้งแรก
ตั้งแต่ทำงานในวงการโฆษณาทั้งที่ ออสเตรเลีย หรือที่ไทย ยิ่งช่วงโฆษณายังเป็น Traditional Media โจทย์ส่วนใหญ่ที่ผมได้รับก็จะเป็น คิด OOH, TVC หรือทำแคมเปญสร้างการรับรู้เป็นหลัก มาในยุค digital โจทย์ก็ยังเป็นการสร้างแคมเปญเน้นการรับรู้ หรือตัวเลขทางสถิติบางอย่างที่บ่งบอกว่าแคมเปญนั้นๆสำเร็จไม่ว่าจะเป็น ยอด Like ยอดวิว ยอดคอมเม้น ความเป็นไวรัล แต่โจทย์แรกๆ ที่เราได้เข้าไป Pitch กับ YSL ลูกค้าบอกเรามาเลยว่า มีงบประมาณเท่านี้อยากขาย Lipstick กี่แท่ง โจทย์วันนั้นแทบจะกลายเป็นการเซ็ต DNA ทำงาน “ตอบโจทย์แบบคาดไม่ถึง” ของเราจนถึงทุกวันนี้ เพราะ โจทย์ในวันนั้นมันช่วยให้เรากลายเป็น ครีเอทีฟ เอเจนซี่ ที่เอาเป้าหมายทางธุรกิจของลูกค้าเป็นที่ตั้งแบบเป็นรูปธรรม แผนการตลาดที่เราคิด หรืองานครีเอทีฟที่เราอยากทำมันโดนตั้งคำถามว่า “เราเชื่อว่ามันจะทำให้คนมาซื้อ Lipstick XXX แท่ง แบบที่เราตั้งใจไว้ไหม”
อีกอย่างที่เราได้เรียนรู้จากการทำงานกับ Loreal ช่วงนั้นคือ Loreal จะไม่จ่ายเงิน supplier เกิน 30% ของ รายได้ของ supplier เจ้านั้น คิดว่าหลักๆน่าจะเป็นเรื่องความโปร่งใสและไม่ให้เกิด monopoly เราเป็นบริษัทเล็กๆ ต้องคอยอัพเดทกับจัดซื้อตลอดว่ารายได้เราเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เรารับงานเพิ่มขึ้นได้ไหม ซึ่งก็กลายเป็นวิธีการจัดการรายได้ของเราจนถึงวันนี้เหมือนกัน เพราะเรามองในมุมบริษัทเราเองที่ถ้าเรามีรายได้จากลูกค้า 1 เจ้า 100% แล้วลูกค้าเจ้านั้นจากเราไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ธุรกิจเราก็จะมีปัญหาหนักมาก หลังจากนั้นเลยคุยกับพี่อุ๊แล้วก็พยายามบริหารให้ ไม่ให้มีลูกค้าเจ้าไหนเป็นที่มาของรายได้ของบริษัทเราเกิน 30% ทุกวันนี้เราก็ยังเป็นแบบนั้น หลายๆครั้งเราได้ลูกค้าใหญ่ขึ้นแบบก้าวกระโดดเราจะต้องไปหาลูกค้าเจ้าอื่นมาถัวให้ไม่มีลูกค้าเจ้าไหนจ่ายเงินเราเกิน 30% ของรายได้รวมของบริษัทเรา ทำให้เราค่อนข้างมั่นคงในทางการเงินมากๆ อาจจะไม่ได้โตแบบก้าวกระโดดหวือหวา แต่ก็เรียกได้ว่าโตแบบมั่นคงมากๆ
Tetra Pak ลูกค้าที่อยู่กับเราตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
ทำงานกับบริษัทต่างชาติแบบTetra Pak สอนอะไรเราเยอะมาก เรียกได้ว่าเป็นลูกค้าที่อยู่คู่เรามาตลอดตั้งแต่มีพนักงาน 5-6 คน จนตอนนี้มี 30 คน ใครจะนึกว่าบริษัท อันดับ 1 ด้านการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ อาหารและเครื่องดื่ม ที่เป็น B2B จะเป็นลูกค้าที่อยู่กับเรามานานมากๆ วันที่เราทำแผน Digital Communication เพื่อเข้าไป pitch ทาง Tetra Pak ให้เราส่ง proposal ของเราเข้าไปก่อนล่วงหน้าประมาณ 1 อาทิตย์ ซึ่งหลังจากเราส่งไปมีโทรศัพท์โทรกลับมาถามผมว่า “ทำงานให้คู่แข่งของ Tetra Pak อยู่รึเปล่า” ผมค่อนข้างประหลาดใจแต่ก็ตอบไปตามจริงว่า “ไม่ได้ทำครับ มีอะไรรึเปล่าครับ” ปลายสายตอบกลับมาว่า “อ่อทางพี่ต้องขอโทรมาเช็คก่อนเพราะข้อมูล industry analysis ที่ส่งมามันค่อนข้างละเอียด” ตอนนั้นด้วยความเด็กที่ฟังแล้วดีใจเลยเผลอหลุดปากไปว่า “ครับ…นี่ชมใช่ไหมครับ” จากวันนั้นถึงวันนี้ก็น่าจะเกือบๆ 10 ปีเหมือนกันที่เราทำงานร่วมกับ Tetra Pak Thailand มา กลายเป็น account ที่เราผูกพันมากๆจนทุกวันนี้ผมจะซื้อเครื่องดื่มยังต้องดูว่าใช้ บรรจุภัณฑ์ ของ Tetra Pak อยู่รึเปล่า
HOYA – กับการปฏิวัติการทำ social cotent ในอุตสาหกรรม เลนส์สายตา
ตอนที่เข้าไปรับบรีฟ ทำ Facebook Page HOYA เราเห็นว่าในตลาดนี้มีแต่คนพูดเรื่อง โปรโมชั่น ศัพท์วิทยศาสตร์แบบยากๆ จนเราเสนอว่าควรจะต้องทำให้ง่ายและแทนที่จะ focus เรื่องขายเลนส์ ให้ focus เรื่องช่วยร้านตัวแทนขายเลนส์ จึงเกิดเป็นการให้ความรู้เรื่องเลนส์แบบง่ายๆ มาผูกกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการสอนวิธีเลือกเลนส์ที่เหมาะกับอาชีพ การวัดสายตาด้วยตัวเองที่ถูกต้อง ที่มันน่าภูมิใจเพราะพอครบปี มีร้านตัวแทนขอให้เรารวบรวมคอนเท้นทั้งหมดที่เราทำส่งไปให้เพื่อเค้าจะพิมพ์เป็นหนังสือให้ลูกค้าอ่าน รวมไปถึงเพจเลนส์แบรนด์อื่นปรับมาทำคอนเท้นตามเราหมด ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้เปลี่ยนอะไรที่โคตรยื่งใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้เลย นอกจากจะมีโอกาสได้ทำอะไรที่เราโคตรภูมิใจแล้ว ยังได้เจอลูกค้าที่น่ารักจนถึงวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ถึงแม้จะไม่ได้ทำงานร่วมกันแล้ว
ถ้าจะถามว่า Createx (ครีเอเทกซ์) นอกจากทีมงานเริ่มต้นที่ผมเคยเขียนไปก่อนหน้านี้แล้ว เริ่มมาจากอะไรอีกก็คงไม่ผิดนักที่จะบอกว่าเริ่มมาจากลูกค้า 4 แบรนด์นี้เช่นกัน