Autonomy / Mastery / Purpose : ความลับของคนที่ไม่เคย Burnout

เราเห็นคำว่า Burnout หรือหมดไฟ บ่อยมากในช่วง 2-3 ปีหลังๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีการพูดถึงเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ ไม่อยากทำงานที่ตัวเองทำงานอยู่แล้ว รู้สึกชีวิตที่ใช้อยู่มันน่าเบื่อสุดๆ ไม่มีพลังจะไปทำอะไร แต่รอบตัวทุกคนผมเชื่อว่าเราก็จะมีบางคนหรือหลายคนที่รู้สึกว่า ทำไมเค้าไม่เคยหมดไฟเลย อาจจะเห็นว่ามีแผ่วๆบ้างบางครั้ง แต่ขุดพลังๆจากไหนมาไม่รู้ ไฟติดตลอดเวลา ดูมีทั้งพลังกาย พลังใจ ทำอะไรก็โคตร productive บางคนถึงกับเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างได้ ถ้าคุณถามเค้าว่าความลับคืออะไร เค้าจะตอบคุณว่า

เค้าเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่….ฮา 

เข้าเรื่อง ถ้าอิงจากหนังสือ Drive โดย Daniel Pink ที่เพ็ป(ลูกผม)ได้อ่านจบบนเครื่องบินตั้งแต่อายุไม่ถึง 3 ขวบครึ่ง (ล้อเล่นๆ) คนที่ไม่เคยหมดไฟจะต้องมี 3 อย่าง Autonomy (เสรีภาพ) Mastery (ความก้าวหน้า) Purpose (ความหมาย)

//////////////////////

Autonomy (เสรีภาพ)

เคยรู้สึกไหมครับว่า เวลาที่เราโดนสั่งให้ทำอะไรในแบบที่เราไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรเลย เราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนี้ หรือไม่เห็นด้วยในวิธีการที่โดนสั่งให้ทำ หรือมีคนเอางานมาให้ทำในนาทีสุดท้ายแล้วเราไม่มีทางเลือกอะไรเลยนอกจากต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อมาทำมัน  เราจะเกิดความเครียดเยอะมากและถ้าเกิดขึ้นบ่อยๆเราจะรู้สึกว่า ไม่อยากทำละ ไม่อยากอยู่ในที่แบบนั้นแล้ว เวลาเราอยู่ในสถานการณ์หรือที่ทำงานที่ทำให้เราอยู่ในสภาพนี้ มันแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้รับความไว้วางใจ และเราไม่มี control ในชีวิตของเราเอง นั่นเพราะเราไม่มี Autonomy

คนไม่ได้เกลียดการทำงาน… เขาเกลียด “การถูกสั่ง” ให้ทำงานแบบไม่เข้าใจบริบท

ลองคิดถึงเด็กคนนึงที่โตมากับการโดนบังคับและจัดแจงจากพ่อแม่ให้ทำทุกอย่าง แม้แต่เสือผ้าที่ใส่ยังไม่มีโอกาสได้เลือกเอง คุณคิดว่าเด็กคนนั้นจะโตมาเป็นยังไง นอกจากจะโตมาด้วยความเครียดแล้วจะกลายเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจและเลือกอะไรเองเลยเพราะทั้งชีวิตไม่เคยได้เลือก

ในชีวิตการทำงาน เราสำรวจตัวเองได้ว่าที่ที่เราทำงานอยู่เรามี อิสระ ในการทำงานมากน้อยขนาดไหน หรือที่เรา burnout อยู่เพราะเราแทบจะไม่มีเลย หรือถ้าเราบริหารทีมอยู่แล้วรู้สึกว่าทำไมทีมที่เราดูมันไม่มีใครมีความสุขเลย ไม่มีไอเดียใหม่ๆในการทำงานมาเสนอ ดูทำงานไปวันๆ อาจจะต้องมาดูว่าเราให้ อิสระ ในการทำงานเค้ามากน้อยขนาดไหน ผมว่าอันนี้ใกล้เคียงกับที่ พี่โจ้ ธนา พูดและเขียนถึงการบริหารงานของ คุณซิกเว่ บ่อยๆ เรื่อง Tight-Loose-Tight

Tight แรก คือความคาดหวังหรือเป้าหมายที่อยากได้และอยากไปให้ถึง ต้องชัดเจน
Loose คือ วิธีการทำงาน ให้ยืดหยุ่น ให้คนทำงานได้คิดและเป็นเจ้าของงานเอง อันนี้คือตรงกับหลัก Automony ที่เขียนไปข้างต้น
Tight สุดท้ายคือ การวัดผลว่าออกมาแล้วเป็นตามเป้าหมายไหม แล้วมาถอดบทเรียนว่า เป็นหรือไม่เป็นเพราะอะไร เราเรียนรู้อะไรบ้างเพื่อเอามาพัฒนาต่อ

Autonomy ไม่ใช่การปล่อยอิสระแบบไม่มีขอบเขต แต่คือการ “ให้ความไว้วางใจ พร้อมความรับผิดชอบ”

//////////////////////

Mastery (ความก้าวหน้า)

เคยทำอะไรที่เราทำแล้วเก่งขึ้นทุกวันแล้วสังเกตว่าเราจะอยากทำมันอยู่เรื่อยๆไหมครับ เช่น เล่นเกม เล่นดนตรี วาดรูป หรือเล่นบอร์ดเกมกับเพื่อนแล้วเราอยากเล่นแล้วเล่นอีก เพราะทุกครั้งที่เล่นเรารู้สึกว่าเก่งขึ้นเรื่อยๆ เราสนุกกับการได้ลองทำ ลองตัดสินใจอะไรใหม่ๆ ลองได้แก้ไขความผิดพลาด จากที่แพ้มาเรื่อยๆ จนมีบางเกมเราเริ่มชนะบ้างมันรู้สึกภูมิใจ แต่ถ้าเราแพ้แบบที่ไม่รู้ว่าแพ้เพราะอะไร แพ้แล้วแพ้อีก แพ้ซ้ำแพ้ซากแต่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ว่าเราจะเก่งขึ้นได้ยังไง เราก็คงไม่อยากทำมันต่อ หรือเราเล่นจนเราชนะแล้ว ชนะเรื่อยๆ จนไปเจอวิธีการที่เล่นยังไงก็ชนะ เรียกว่าชนะจนเบื่อจนเราไม่เจอวิธีอะไรใหม่ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเก่งขึ้นแล้ว เราก็คงเลิกเล่นเหมือนกัน ความสนุกของการเล่นบอร์ดเกมหลายเกมคือนอกจากมันมีวิธีการชนะหลายแบบแล้ว คนที่เล่นกับเราแต่ละคนก็ทำให้วิธีการเล่นเราเปลี่ยนไป เราเลยสนุก เราเลยภูมิใจ เราเลยอยากทำสิ่งนั้นให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ

วันนี้ถ้าคุณรู้สึกหมดไฟ ต้องลองมาถามตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่มันทำให้คุณสนุกที่จะเก่งขึ้นทุกวันไหม หรือถ้าเราบริหารทีมสิ่งที่อาจจะสำคัญมากกว่าการสอนว่าอะไรทำยังไง อาจจะเป็นการเอาสิ่งที่ทำเสร็จแล้วมา ถอดบทเรียนเพื่อเรียนรู้ว่าถ้าเรามีโอกาสได้ทำอีกครั้งหน้าเราจะทำยังไงให้ดีขึ้น

แต่ก็ต้องหยุดชมตัวเอง หรือ Celebrate บ้างในสิ่งที่เราได้ทำสำเร็จ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้ อย่างน้อยแวะชมตัวเองนิดนึง

ชีวิตเราไม่ได้ต้องการคำว่า Perfect เราแค่ต้องการคำว่า “ดีขึ้น” ในทุกๆวัน

//////////////////////

Purpose (ความหมาย)

เราทำสิ่งที่ทำอยู่ไปเพื่ออะไร เคยได้ยินเพื่อนร่วมงานพูดว่า “อยากทำงานที่มีคุณค่า” ไหมครับ คนเราจะรู้สึกดีถ้าเรารู้ว่าที่เราทำอยู่มันทำไปเพื่ออะไร ทำเพื่อใคร หรือมันมีความมายกับใคร ยิ่งมาก ยิ่งใหญ่กว่าตัวเองมันก็ยิ่งเติมไฟในชีวิตเรา ถ้าในบริบทของที่ทำงาน มันอาจจะเริ่มจากทำแล้วเพื่อนร่วมงานได้งานที่ดีขึ้น องกรค์หรือบริษัทเราเติบโตขึ้น ลูกค้าขายของได้เยอะขึ้น คนรอบข้างมีความสุขมากขึ้น ไปถึง เรากำลังเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดีขึ้น หรือเรากำลังทำโปรเจ็คบางอย่างที่ถ้ามันเสร็จมันจะช่วยชีวิตคนได้หลายล้านคน เป้าหมายมีทั้งเป้าหมายส่วนตัว เป้าหมายส่วนรวม ลองคิดว่าถ้าเราทำงานในที่ที่มันให้คำตอบเราได้ทั้ง 2 อย่างเราคงมีไฟให้เติมมาเรื่อยๆ

ในมุมการบริหารทีม ถ้าทีมไม่เข้าใจว่า “งานนี้สำคัญกับใคร” เขาก็จะรู้สึกว่า “มันก็แค่งาน” แต่ถ้ามันมี Purpose ที่ใหญ่กว่านั้น เช่นปกป้องโลก วันนี้เค้าก็จะไม่ได้แค่ทำงาน แต่เค้ากำลังปกป้องโลกอยู่

งานที่คุณทำอยู่ตอนนี้ มันมีความหมายกับใคร แล้วคุณภูมิใจกับมันรึเปล่า

ถ้าเราและทีมเรามี 3 อย่างนี้ Autonomy (เสรีภาพ) Mastery (ความก้าวหน้า) Purpose (ความหมาย) เราจะไม่มีวันหมดไฟ

ไปครับไปทำงานใช้หนี้บัตรเครดิตกัน :p

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *