ภาพจากคลาส CXO4 by Disrupt Technology Venture

Work-Life balance กับ เรื่องเล่าของ เจษฎา สุขทิศ Co-Founder, FINNOMENA

Cr: ภาพจากคลาส CXO4 by Disrupt Technology Venture

เห็นกระแสเรื่อง Work-Life balance กลับมาถกเถียงกันอีกครั้ง บังเอิญว่ามีโอกาสได้ฟังคุณ เจท (เจษฎา สุขทิศ) CEO FINNOMENA ในคลาส CXO เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งไม่ได้พูดถึง Work-Life balance ตรงๆ แต่พูดเรื่องที่ผมคิดว่าเกี่ยวข้องและน่าสนใจ อยู่ 3 เรื่อง คือ

  1. The Jar of Life (ทฤษฎีกระปุกทราย)
  2. Routine keep me saint (กิจวัตรทำให้ฉันมีสติ)
  3. คนที่สำคัญที่สุดในชีวิต ณ ขณะนี้

The Jar of Life (ทฤษฎีกระปุกทราย)

เป็นทฤษฎีที่เอามาเปรียบเทียบในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น การใช้ชีวิต การเลี้ยงลูก หรือการลงทุน (อันนี้ใครสนใจไปอ่านบทความของ Finnomena ได้ที่ https://www.finnomena.com/park-kathawut/the-jar-of-life/)

ทฤษฎีกระปุกทราย ที่เอามาเปรียบเทียบในหลายๆเรื่อง หลักการมาจาก การเปรียบเทียบว่าเวลาในชีวิตเรา (หรือสินทรัพย์ที่เรามี) เป็นกระปุก และสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเรามี 3 ประเภท คือสิ่งที่เป็น หิน กรวด และทราย ซึ่งถ้าเราใส่ทรายลงไปก่อน มันอาจจะเหลือที่ให้ใส่กรวดบ้าง แต่มันจะไม่มีที่ให้ใส่หิน เราจะใส่ทั้ง 3 อย่างลงไปไม่ได้ มันเลยต้องใส่หินก่อน แล้วค่อยใส่กรวด และใส่ทราย คราวนี้ก็อยู่ที่แต่ละคนจะเอาไปแปล หรือเอาไปแปลงว่าแต่ละอย่างคืออะไร

ซึ่งคุณเจท ได้ยกการเปรียบเทียบการใช้ชีวิตของตัวเองตอนนี้

หิน คือ ตัวเอง
กรวด คือ คนรอบข้าง
ทราย คือ งาน

เลยต้องใส่ตัวเอง คนรอบข้าง และงานไปตามลำดับ เพื่อที่ชีวิตจะได้สามารถมีได้ทั้ง 3 อย่าง ถ้าใส่ ทราย(งาน) ไปก่อน อาจจะมีที่เหลือให้ใส่กรวด แต่มันจะไม่มีที่เหลือให้ใส่หิน ผมเชื่อว่าในฐานะที่คุณเจทเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องรับผิดชอบทั้งลูกค้า พนักงาน และนักลงทุน คุณเจทยังเป็นพ่อลูก 3 ที่ถ้าใครมีลูกก็จะรู้ว่ามันต้องให้ความสำคัญและเวลาเยอะมาก การเปรียบเทียบของคุณเจทมันเลยไม่ได้เป็นการบอกว่า อะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ แต่เป็นการบอกลำดับการบริหารทั้ง 3 อย่างในชีวิตให้ลงตัวในแบบของคุณเจท

Routine keep me saint (กิจวัตรทำให้ฉันมีสติ)

จากการผ่านร้อนผ่านหนาวในธุรกิจ Startup ที่ผ่านทั้งช่วงขึ้นและลงแบบ Roller Coaster สิ่งที่ทำให้ยังเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีสติคือ กิจวัตรประจำวัน หลายคนอาจจะเคยอ่านเรื่องนี้ผ่านตามาบ้างแล้วว่า คนดังๆหลายคนชอบมี กิจวัตรประจำวัน ในแบบของตัวเอง เช่นตื่นมาออกกำลังกาย อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ การที่มีกิจวัตรประจำวันมันทำให้เรามีโฟกัสในเรื่องที่อยู่ตรงหน้าและได้เอาตัวเองออกมาจาก ปัญหาหรือความเครียดได้ในช่วงขณะนั้น ยังไม่รวมถึงสุขภาพ ทักษะและความรู้ที่อาจจะได้จากกิจวัตรประจำวันนั้นๆ ซึ่งผมเองก็เหมือนจะมีแต่ก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะติดขี้เกียจแต่จะมีกิจกรรมนึงที่แทบจะทำได้ทุกวันคือ พาลูกไปเดินเล่นตอนเช้าก่อนไปทำงาน ทำให้กลายเป็นทริคเล็กๆว่า ถ้าใครยังเป็นแบบผมที่ขี้เกียจอยู่ยังทำไม่ได้ ลองไปมี commitment กับคนอื่นแล้วให้เค้ามาทวงเวลาเดิมๆดู แบบลูกผมที่พออาบน้ำตอนเช้าเสร็จจะมาบอกผมว่า “ป่ะป๊าไปเดินเล่น”

คนที่สำคัญที่สุดในชีวิต ณ ขณะนี้

คุณเจทถามคนฟังว่า “ถ้าผมถามคุณว่า ใครคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ ณ ขณะนี้” คนฟังก็ตอบไปหลายๆอย่างรวมถึงผมด้วย เช่น ครอบครัว ลูกค้า เพื่อน….

คุณเจท ตอบว่า “คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม ณ ขณะนี้ คือคนที่อยู่ตรงหน้าผม” (ซึ่งก็คือพวกคุณที่ฟังอยู่)

ถ้าเป็นศัพท์วัยรุ่นฟังเผินๆคงบอกว่า “มึงเบียวจัด” แต่ผมว่ามันน่าสนใจ เพราะพอคุณเจทอธิบายแล้วเราก็คิดว่า เออ จริงว่ะ เรามีภารกิจที่จะต้องทำในแต่ละช่วงเวลา และเราจะทำสิ่งนั้นให้ดีไม่ได้ ถ้าเรามัวแต่ไปคิดถึงเรื่องอื่น เหมือนประชุมก็ต้องตั้งใจเข้าร่วมประชุม น้องในทีมมาปรึกษาปัญหาก็ต้องตั้งใจฟัง นัดกินข้าวกับเพื่อนก็ไม่มัวแต่เล่นโทรศัพท์ อยู่กับครอบครัวก็ให้เวลาและความสนใจเต็มที่ ไม่งั้นเราก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดได้

ตั้งแต่ได้มาเรียน CXO นี่ช่วยเปิดโลกให้ผมเยอะมาก จริงๆก็อยากแชร์ตั้งแต่คลาสแรกแต่ก็กว่าจะได้มาเขียนเล่าก็ปาไปคลาส 5 แล้ว ถ้ามีจังหวะเพิ่มเติมจะมาเขียนรีวิวย้อนหลัง รวมถึงหาโอกาสเขียนรีวิว CXO ด้วย พอดีจังหวะเรื่อง Work Life-Balance มันมาเจอกับเรื่องนี้พอดีเลยอยากจะเขียนแชร์ไว้สักหน่อย

ส่วนผมคิดยังไงกับ Work-Life balance ผมคิดว่ามันเป็นคำที่คลุมเครือ โดยเฉพาะคำว่า Balance เพราะแต่ละคนมันไม่เท่ากัน ส่วนตัวผมชอบการวางแผน การตลาด และงานโฆษณามากๆ ผมอ่านหนังสือให้ลูกฟังแล้วก็ได้ไอเดียเกี่ยวกับ product เด็ก อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องงานไหม ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่าใช่ แต่ผมก็คิดว่าไม่ใช่เพราะใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอด ผมเจอเพื่อนใหม่นั่งคุยกันจนได้ insight ใหม่ๆเอามาทำงาน ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าตอนที่นั่งคุยผมเครียดหรือเป็นการทำงาน ผมว่าอยู่ที่ตัวของแต่ละคนว่าอยากใช้ชีวิตแบบไหน อยากได้อะไรในชีวิต หรือตอนนั้นต้องการอะไรในชีวิตมากกว่ากัน ไม่มีใครได้ในสิ่งที่ต้องการ 100% อยู่ที่เราจะบริหารจัดการเวลาและความต้องการของตัวเองยังไง

สุดท้ายคงอยู่ที่ หิน กรวด ทราย ของคุณตอนนี้คืออะไร?


Posted

in

by